Month: เมษายน 2017

ของขวัญแห่งการให้

ศิษยาภิบาลคนหนึ่งนำสำนวนที่กล่าวว่า “ยอมสละเสื้อให้” มาทำให้เป็นจริงด้วยการท้าทายสมาชิกว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราถอดเสื้อนอกและสละให้กับคนขัดสน” จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองออกและวางไว้หน้าโบสถ์ อีกหลายสิบคนทำตามอย่างเขา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในฤดูหนาว หลายคนจึงต้องกลับบ้านลำบากหน่อยในวันนั้น แต่สำหรับคนที่ขัดสนอีกหลายสิบคน ฤดูหนาวปีนี้อุ่นขึ้นกว่าเดิม

ปล่อยมือ

ในวันครบรอบแต่งงาน สามีของฉันขอยืมจักรยานแบบที่ปั่นเรียงกันสองคนมาเพื่อให้เราได้ใช้เวลาผจญภัยแบบโรแมนติคด้วยกัน พอเริ่มปั่นไป ฉันจึงรู้ว่าเวลาที่ฉันนั่งในตำแหน่งข้างหลัง ฉันไม่อาจมองถนนหนทางข้างหน้าได้ชัดเพราะถูกบดบังด้วยไหล่กว้างๆ ของสามี และแฮนด์จักรยานก็ติดอยู่กับที่ ไม่สามารถบังคับล้อได้ คนข้างหน้าเท่านั้นที่กำหนดว่าจะไปทางใด ที่นั่งของฉันมีเอาไว้นั่งเฉยๆ ฉันต้องเลือกว่าจะหงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้ หรือยินดีรับการเดินทางครั้งนี้และวางใจว่าสามีจะนำทางไปอย่างปลอดภัย

เมื่อพระเจ้าสั่งให้อับรามออกจากบ้านเกิดและครอบครัว พระองค์ไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางมากนัก ไม่มีพิกัด ไม่มีคำอธิบายถึงดินแดนใหม่หรือรายละเอียดด้านทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ได้บอกแม้แต่ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทาง พระองค์เพียงสั่งให้ “ไป” ยังดินแดนที่พระองค์จะบอกให้รู้ การที่อับรามเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า ทั้งที่ขาดรายละเอียดที่คนทั่วไปมักต้องการรู้ ทำให้ท่านได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความเชื่อ (ฮบ.11:8)

หากเราเผชิญความไม่แน่นอนหรือสถานการณ์ในชีวิตที่เราไม่อาจควบคุมได้ ขอให้เราทำตามอย่างอับราฮัมที่เชื่อฟังและวางใจพระเจ้าพระองค์จะทรงนำเราไปอย่างดี

กลิ่นอันหอมหวาน

ริต้า สโนว์เดนเขียนเรื่องน่าสนุกเกี่ยวกับการไปเที่ยวหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในโดเวอร์ ประเทศอังกฤษ บ่ายวันหนึ่งระหว่างนั่งจิบชานอกร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เธอได้กลิ่นหอมโชยมา ริต้าถามบริกรว่ากลิ่นมาจากไหนเขาตอบว่ามาจากผู้คนที่สัญจรไปมา ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำงานที่โรงงานน้ำหอมใกล้ๆ กลิ่นหอมที่ติดเสื้อผ้าจึงฟุ้งไปทั่วท้องถนนขณะเดินกลับบ้าน

ช่างเป็นภาพเปรียบเทียบชีวิตคริสเตียนที่งดงาม! ตามที่อัครทูตเปาโลกล่าว เราเป็นกลิ่นหอมของพระคริสต์ที่ฟุ้งกระจายไปทั่วทุกแห่ง (2 โครินธ์ 2:15) เปาโลใช้ภาพพระราชาที่กลับมาจากสงคราม ซึ่งติดตามด้วยขบวนทหารและเชลย มีกลิ่นเครื่องหอมแห่งการฉลองชัยฟุ้งไปทั่วเพื่อประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของพระราชา (2 โครินธ์ 2:14)

เปาโลกล่าวว่าเราแพร่กระจายกลิ่นหอมของพระคริสต์ได้สองทาง หนึ่งคือผ่านทางคำพูด โดยการบอกผู้อื่นเรื่องพระองค์ผู้ทรงงดงาม สองคือผ่านทางชีวิต โดยการกระทำที่เสียสละเหมือนอย่างพระคริสต์ (เอเฟซัส 5:1-2) แม้ไม่ใช่ทุกคนที่จะชื่นชมกลิ่นหอมของพระเจ้าที่เราแบ่งปัน แต่กลิ่นหอมนั้นก็นำชีวิตมาสู่อีกหลายคน

ริต้า สโนว์เดนได้กลิ่นหอมและถามหาที่มา เมื่อเราติดตามพระคริสต์ เราก็อบอวลด้วยกลิ่นหอมของพระองค์ ฟุ้งไปทั่วท้องถนนด้วยคำพูดและการกระทำของเรา

ชื่นชมทัศนียภาพ

ผู้คนมักจะหยุดสิ่งที่ทำอยู่เพื่อดูดวงอาทิตย์ตก ถ่ายรูป และชื่นชมกับทัศนียภาพอันสวยงาม

อยู่บ้านกับพระเยซู

"ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้าน” คำกล่าวนี้สะท้อนความปรารถนาลึกๆ ในจิตใจที่อยากมีสถานที่ของตัวเองเพื่อพักผ่อน อยู่อาศัยและเป็นเจ้าของ พระเยซูตรัสเรื่องความปรารถนานี้หลังจากพระองค์เสวยพระกระยาหารมื้อสุดท้ายร่วมกับเหล่าสหาย พระองค์ตรัสถึงการสิ้นพระชนม์และการคืนพระชนม์ที่ใกล้เข้ามา ทรงสัญญาว่าแม้พระองค์จากไป แต่จะทรงกลับมารับพวกเขา พระองค์จะทรงจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกเขา เป็นที่พักอาศัย เป็นบ้าน

พระองค์ทรงเตรียมที่ไว้สำหรับพวกเขาและพวกเราผ่านทางการปฏิบัติตามกฎของพระเจ้าด้วยการสิ้นพระชนม์บนกางเขน ในฐานะมนุษย์ที่ปราศจากบาป พระองค์ให้ความมั่นใจกับเหล่าสาวกว่า หากพระองค์ทรงฟันฝ่าเพื่อจัดเตรียมบ้านให้พวกเขาถึงเพียงนี้ พระองค์ย่อมต้องกลับมารับและไม่ทิ้งพวกเขาไว้แน่นอน พวกเขาไม่ต้องกลัวหรือกังวลเรื่องใดในชีวิตไม่ว่าในโลกนี้หรือในสวรรค์

เราเองก็รับการปลอบประโลมและความมั่นใจจากพระดำรัสของพระเยซูได้ เพราะเราเชื่อและวางใจว่าพระองค์ทรงเตรียมบ้านสำหรับเราพระองค์ทรงประทับอยู่ในเรา (ดู ยอห์น 14:23 ) และพระองค์ทรงล่วงหน้าไปเพื่อจัดเตรียมบ้านบนสวรรค์ให้กับเรา ไม่ว่าเราจะอยู่ในบ้านแบบใด เราก็เป็นของพระเยซู ผู้ทรงดำรงอยู่ด้วยความรักและโอบล้อมเราด้วยสันติสุขของพระองค์ ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้านเมื่อเราอยู่กับพระเยซู

พระองค์เข้าใจและห่วงใย

เมื่อมีคนถามชายคนหนึ่งว่าความไม่รู้และความไม่ใส่ใจเป็นปัญหาของสังคมสมัยใหม่หรือไม่ เขาพูดติดตลกว่า “ผมไม่รู้และผมไม่ใส่ใจ”

ราคาของความรัก

ลูกสาวของเราร้องไห้โฮ ขณะที่เราโบกมืออำลาพ่อแม่ของฉันที่มาเยี่ยมเราที่อังกฤษ และกำลังจะออกเดินทางไกลกลับบ้านที่สหรัฐ เธอบอกว่า “หนูไม่อยากให้ท่านไปเลย” ขณะที่ฉันปลอบลูกอยู่ สามีของฉันให้ความเห็นว่า “ผมคิดว่านี่คือราคาของความรัก”

เราอาจรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องแยกจากคนที่เรารัก แต่พระเยซูได้ทรงเผชิญกับการถูกตัดขาดเมื่อต้องจ่ายราคาความรักบนไม้กางเขน พระองค์ผู้ทรงเป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า “แบกบาปของคนเป็นอันมาก” (อิสยาห์ 53:12) เป็นไปตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์หลังจากเวลาผ่านไปเจ็ดร้อยปี พระธรรมบทนี้ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าพระเยซูทรงเป็นผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ เช่นตอนที่พระองค์ทรง “บาดเจ็บเพราะความทรยศของเราทั้งหลาย” (อิสยาห์ 53-:5) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน และเมื่อทหารคนหนึ่งเอาหอกแทงสีข้างของพระองค์ (ยอห์น 19:34) และตอนที่บอกว่า “ที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี” (อิสยาห์ 53:5)

เพราะความรัก พระเยซูเสด็จมาบังเกิดเป็นทารกน้อยบนโลกนี้ เพราะความรัก พระองค์ทรงถูกข่มเหงจากผู้สอนธรรมบัญญัติ ฝูงชน และเหล่าทหาร เพราะความรัก พระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่สมบูรณ์ต่อหน้าพระบิดาแทนเรา เรามชีวิตอยู่ก็เพราะพราะความรัก

ระลึกถึงกางเขน

ในคริสตจักรที่ฉันไปร่วมนมัสการมีไม้กางเขนตั้งอยู่ตรงกลางหน้าที่ประชุม เป็นเครื่องหมายแทนไม้กางเขนที่พระเยซูทรงถูกตรึงตาย ที่ที่ความบาปของเรามาบรรจบกับความบริสุทธิ์ของพระองค์ ที่นั่น พระเจ้าทรงยอมให้พระบุตรผู้ทรงดีพร้อมสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปที่เราทำ พูด หรือคิด บนกางเขนพระเยซูทรงเสร็จพระราชกิจที่จำเป็นเพื่อช่วยเราจากความตายที่เราสมควรได้รับ (โรม 6:23)

ถูกทอดทิ้งเพื่อเรา

การมีเพื่อนอยู่ใกล้ทำให้เราทนความเจ็บปวดได้มากขึ้นใช่หรือไม่ นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเวอร์จีเนียได้ทำการศึกษาเพื่อตอบคำถามนี้ เขาอยากรู้ว่าสมองมีปฏิกิริยาอย่างไรและแตกต่างกันหรือไม่ เมื่อบุคคลเผชิญกับความเจ็บโดยลำพัง แล้วจับมือคนแปลกหน้าหรือจับมือเพื่อนสนิทไว้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา